โครงการแก้หนี้ไขปัญหาหนี้ส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน ระหว่าง วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กับผู้บริหารสมาคมธนาคารไทย สมาคมธนาคารนานาชาติ สถาบันการเงิน และบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท หรือ SAM โดยความร่วมมือครั้งนี้เป็นการวางโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อแก้ปัญหาหนี้อย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะลูกหนี้ที่มีเจ้าหนี้หลายราย ทำให้เกิดปัญหาเงินไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้ โดยเฉพาะหนี้เสียค้างชำระเกิน 90 วัน โดยให้ SAM เข้ามาเป็นตัวกลางในการปรับโครงสร้างหนี้ ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ และให้คิดอัตราดอกเบี้ยกับลูกหนี้ไม่เกิน 7% มีเงื่อนไขลูกหนี้ต้องปรับพฤติกรรม ให้มีการบริหารการเงินดีขึ้น และห้ามก่อหนี้เพิ่มในช่วง 5 ปี
คุณสมบัติของลูกหนี้ ที่จะเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ได้ รายละเอียดมีดังนี้
– ต้องเป็นบุคคลที่มีรายได้ประจำ
– ต้องมีอายุไม่เกิน 65 ปี (ต้องไม่เกินตลอดอายุที่อยู่ในโครงการ)
– มีหนี้รวมห้ามเกิน 2,000,000 บาท
– มีหนี้กับธนาคารมากกว่า 2 แห่งใน 17 ธนาคารที่เข้าร่วมโครงการ
– จะต้องเสียดอกเบี้ยตั้งแต่ 4% – 7% ต่อปีเท่านั้น
– มีหนี้บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด หรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน ค้างชำระเกิน 3 เดือน กับ 2 ธนาคารขึ้นไป และไม่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดี
ธนาคารพาณิชย์ที่เข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ ทั้งหมด 17 ธนาคาร ประกอบด้วย
– ธนาคารกรุงเทพ
– ธนาคารไทยพาณิชย์
– ธนาคารกสิกรไทย
– ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
– ธนาคารกรุงไทย
– ธนาคารทหารไทย
– ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย
– ธนาคารไอซีบีซี
– ธนาคารเกียรตินาคิน
– ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์
– ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ (ไทย)
– ธนาคารธนชาต
– ธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย
– ธนาคารทิสโก้
– ธนาคารยูโอบี
– ซิตี้แบงก์
– แบงก์ออฟไชน่า
ส่วนสาเหตุที่จัดตั้งโครงการนี้ เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทย มีความเป็นห่วงหนี้ส่วนบุคคล เพราะปัจจุบันผู้กู้ในวัยทำงานอายุน้อย หรือตั้งแต่ 29 ปีขึ้นไป ส่วนใหญ่ค้างชำระเกิน 90 วัน และไม่ได้ลดลงแม้ใกล้วัยเกษียณ ซึ่งจะมีผลต่อเงินออมเพื่อการเกษียณเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าขาดวินัยทางการเงิน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิต และภาพรวมเศรษฐกิจตามไปด้วย
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมโครงการที่ www.คลินิกแก้หนี้.com, www.debtclinicbysam.com และ 02-610-2266 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.30-17.00 น.