ตอนนี้ ผมหายป่วยจากโรคท้องอืด โรคกรดไหลย้อนแล้ว ตัวผมเองหายป่วยจากโรคนี้ภายใน 1 เดือน และระหว่างที่ผมดื่มน้ำกะเพรานี้ ผมไม่ได้ทานยาเคมีสังเคราะห์เลยสักเม็ดเดียว ปัจจุบันนี้ ผมก็ยังไม่เป็นโรคนี้ซ้ำ เพราะว่าผมพยายามรับประทานอาหารอย่างเคร่งครัด และผมจะไม่ทานยาคลายกล้ามเนื้ออีกต่อไป ที่จริง ผมคิดว่า ผมน่าจะหายจากโรคท้องอืด กรดไหลย้อนนี้ภายใน 10 – 15 วัน แต่พอดีว่า มีอยู่วันหนึ่งที่คิดว่าจะหายจากโรคนี้สนิทนั้นแหละ (ประมาณวันที่ 11 – 12) ผมได้ทานอาหารรสเผ็ดจัด ทำให้วันนั้นเกิดอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย ท้องร้องป๊อกๆๆๆ (กดท้องลงไปเหมือนลูกโป่ง จุกที่ลิ้นปี่) มีอาการรุนแรง เหมือนตอนเริ่มท้องอืดใหม่ๆ ขึ้นอีกครั้ง (จะหายแล้ว แต่ดันไปทานอาหารไม่เหมาะ ทำให้เป็นโรคขึ้นมาใหม่)
อาการเตือนเบื้องต้นก่อนจะเป็นโรคท้องอืด (สังเกตจากตัวผมเอง)
1. มีอาการเรอหลังรับประทานอาหารเสร็จใหม่ๆ และเริ่มเหม็นเปรี้ยวขึ้นเรื่อยๆ หรือเรอเมื่อยังไม่ได้ทานอาหาร (เรอก่อนทานอาหาร เรอขณะท้องว่าง)
2. ไม่มีการผายลมมาหลายวัน
3. เริ่มรู้สึกปวดท้องเล็กๆน้อยๆ หลังจากกินอาหารเสร็จ เริ่มจุกที่ลิ้นปี่
สูตรนี้ได้มาจาก นพ.เปี่ยมโชค ชลิดาพงศ์ (ซึ่งผมฟังต่อๆกันมาจากเพื่อนๆอีกที)
วิธีทำน้ำกะเพรา
1. นำกะเพรา 1 กำ (ทั้งลำต้นและใบ) ประมาณ 1 ขีด มาล้างให้สะอาดด้วยน้ำจุลินทรีย์ EM (แช่ 1 ช.ม.) หรือน้ำยาล้างผักเพื่อล้างยาฆ่าแมลงออก (ปัจจุบันนี้ พ.ศ. 2553 ผมปลูกต้นกะเพราขาวและต้นกะเพราแดงไว้ที่หน้าบ้านด้วยครับ)
2. ใส่น้ำ 2 – 3 ลิตรลงในหม้อ นำกะเพราใส่ลงไปทั้งหมด ทั้งลำต้นและใบ
3. ปิดฝาหม้อ ใช้ไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน ต้มประมาณ 15 – 20 นาที พอน้ำเดือดปุ๊บให้ปิดแก๊สทันที ข้อมูลเพิ่มเติมจากประสบการณ์ของผม หากใช้ไฟอ่อนเกินไป ฤทธิ์ยาในกะเพราจะไม่ออกมา ควรกะปริมาณไฟที่ต้ม ให้น้ำเดือดภายใน 15 – 20 นาที
4. ดื่มหลังอาหาร 1 แก้ว 250 ml (อ่านตรง ปล. ต่อ)
5. ถ้าน้ำกะเพราเย็นลง หรือ ดื่มไม่หมด ไม่ต้องอุ่นหรือต้มซ้ำ ให้แช่เย็นไว้ดื่ม เพื่อไว้ดื่มได้หลายๆวัน ข้อมูลเพิ่มเติม สำหรับคนธาตุเย็น อย่างเช่นตัวผมเอง ผมจะไม่ดื่มน้ำกะเพราเย็น แต่จะตั้งน้ำกะเพราทิ้งไว้ให้หายเย็นก่อน แล้วค่อยดื่ม เพราะหลังรับประทานอาหาร ถ้าผมดื่มน้ำเย็นหรือทานของเย็นๆ ผมจะท้องอืดอาหารไม่ย่อยครับ
ปล.
1. ถ้าใช้กะเพราแดงจะได้ผลดีกว่า
2. จำไว้ว่า กะเพราเป็นสมุนไพรธาตุร้อน ถ้าดื่มน้ำกะเพราไปแล้วเกิดอาการร้อนใน ให้ลดปริมาณน้ำกะเพราลง
3. อาการหนักประมาณ 6 – 8 แก้ว และหลังจากวันแรกที่ดื่ม ถ้าอาการทุเลาให้ลดปริมาณน้ำกะเพราลง ดื่มเฉพาะหลังอาหาร มื้อละ 1 – 2 แก้ว แต่ไม่ควรเกิน 4 แก้วต่อวัน
4. ยาสมุนไพรไทย ใช้เวลารักษานานถึงจะหาย ต้องกินเป็นประจำสม่ำเสมอ โดยไม่ต้องทานยาเคมีสังเคราะห์เข้าช่วยเลย
ประโยชน์ของกะเพรา
กะเพราช่วยขับลม เป็น Buffer ปรับสมดุลกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยเร่งการย่อยอาหาร ได้ผลดีเยี่ยมกับคนที่เป็นโรคในลำไส้เล็ก เช่น จุกเสียดในลำไส้เล็ก (โรคนี้เวลาเป็นเหมือนถูกแทงด้วยหลาว นั่งอยู่ดีๆก็เจ็บเหมือนถูกแทง หรือถูกต่อย)
น้ำกะเพราเหมาะสำหรับคนที่เป็นกรดไหลย้อนที่มีอาการท้องอืดร่วมด้วยเป็นประจำ
การดูแลตนเองสำหรับผู้ที่มีอาการท้องอืด จุก เสียด แน่นเฟ้อ และกรดไหลย้อน (ข้อมูลนี้ได้มาจากประสบการณ์ของผู้ป่วย)
1. รับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ ไม่ทานลูกอมรสต่างๆ เช่น รสเปรี้ยว ที่ผสมสารสังเคราะห์
2. ไม่รับประทานอาหารที่มีรสเผ็ดและเปรี้ยว แม้เพียงเล็กน้อย (ข้อนี้สำคัญ)
3. ไม่รับประทานอาหารมัน เช่น กล้วยแขก มันทอด ปอเปี๊ยะทอด และของหมักดอง เช่น ผลไม้ดองต่างๆ (ข้อนี้สำคัญ)
4. ไม่ควรรับประทานอาหารรสหวาน ที่มีน้ำตาลปริมาณมาก เช่น ขนมหวาน, น้ำหวาน, น้ำอัดลม (ข้อนี้สำคัญ)
5. งดดื่มเหล้า และสูบบุหรี่ ชาและกาแฟก็ควรงด (ข้อนี้สำคัญ)
6. ไม่รับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์เป็นจำนวนมาก ควรทานเนื้อปลา หรือถั่ว (ข้อนี้สำคัญ)
7. ควรรับประทานผัก เน้นเป็นผักต้ม (ผักสดควรรับประทานแต่น้อย) เพื่อให้มีการขับถ่าย ไล่ลมออก จุลินทรีย์ได้ทำงาน (ข้อนี้สำคัญ)
8. ไม่ควรรับประทานผลไม้ประเภทย่อยยาก เช่น ฝรั่ง, มะม่วง
9. ควรทานผลไม้ประเภทย่อยง่าย และมีกากใยสูง และไม่มีน้ำตาล ผลไม้ที่แนะนำ เช่น ส้ม ชมพู่ แตงไทย แคนตาลูป และห้ามทานฝรั่ง แตงโม แก้วมังกร มะเขือเทศโดยเด็ดขาด
10. เคี้ยวอาหารให้ละเอียด ประมาณ 100-200 ครั้งต่อ 1 คำ หรือ 3 นาทีต่อ 1 คำ (ข้อนี้ช่วยได้มาก)
11. ไม่รับประทานอาหารจนเต็มกระเพาะอาหาร (ข้อนี้สำคัญเช่นกัน)
12. ใช้เวลารับประทานอาหารในแต่ละมื้อประมาณ ครึ่ง – หนึ่งชั่วโมง
13. หลังรับประทานอาหารเสร็จ ให้ดื่มน้ำเปล่าแต่น้อย หลังจากนั้นอีกประมาณ ครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงให้ดื่มน้ำกะเพรา เพราะน้ำกะเพราจะช่วยขับลม และช่วยเร่งการย่อยอาหาร (ข้อนี้สำคัญ)
14. แกว่งแขนหลังรับประทานอาหารเสร็จในแต่ละมื้อ ช่วยให้กระเพาะอาหารและลำไส้มีการเคลื่อนไหว (ข้อนี้สำคัญมากๆเช่นกัน)
15. ตอนเย็นให้รับประทานอาหารย่อยง่ายๆเท่านั้น เช่น โจ๊ก, ข้าวต้ม (ข้อนี้สำคัญมากๆเช่นกัน)
16. ทานอาหารเสริมประเภทเพิ่มจุลินทรีย์ในลำไส้ ไม่ควรทานนมเปรี้ยวหรือโยเกริต์ เนื่องจากนมทำให้บางท่านท้องอืดได้
17. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น วิ่งทุกเช้า หรือวิ่งในช่วงเย็น อย่างน้อย 2.0 – 3.0 กิโลเมตร หรือเดินในช่วงเย็น เพื่อให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหว (ข้อนี้สำคัญ)
18. อดทนในเรื่องไม่ทานอาหารจุกจิก ไม่เป็นเวลา ไม่เป็นมื้อ สหายธรรมของผมที่เป็นคนสูงอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ทุกคนรักษาโรคนี้ด้วยการทานอาหารเป็นมื้อทั้งหมดทุกคนครับ (ข้อนี้สำคัญเช่นกัน)
19. ท่องไว้ในใจเสมอว่า “การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ” มีเงินทำไม ถ้าไม่ได้ใช้เงินให้เกิดประโยชน์
ถ้าเป็นโรค ใช้เวลาและเงินดูแล – ซื้อสุขภาพจะดีกว่า เช่น ออกกำลังกาย ทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ก็เพียงพอแล้วครับ
ป.ล. เกือบ 2 ปีแล้วครับ ที่ผมไม่ได้เป็นโรคท้องอืด กรดไหลย้อนเลยครับ เพราะผมเคร่งครัดในการรับประทานอาหาร ปรับปรุงพฤติกรรมใหม่ทั้งหมดอย่างเคร่งครัด
แชร์เป็นธรรมทาน ข้อมูลดีๆจาก นพดล อุ่นตา