ลูก ๆ จงรู้ไว้ ว่า การดูแล พ่อแม่ “ไม่ใช่ภาระ” แต่เป็นหน้าที่ และการสร้างบุญครั้งยิ่งใหญ่
การกตัญญูดูแลพ่อแม่ และครอบครัวไม่ใช่ภาระ แต่เป็นหน้าที่ และคือบุญที่ยิ่งใหญ่
หลายคนบ่นว่าเหนื่อย และหมดกำลัง ในการเลี้ยงดูพ่อแม่ที่ชรา หรือท่านป่วย การดูแลลูก สามีภรรยา บริวารทั้งหลาย
ลองมองด้วยจิตที่มีกุศล การดูแลอุ้มชูเหล่านั้น เป็นการสร้างบุญที่ใหญ่มาก ทำบุญกับพ่อแม่ดีกว่าคนอื่น หรือที่ไหนทั้งสิ้น ในทางโลกล้วนได้รับการสรรเสริญ ในทางธรรมล้วนได้รับการยกย่อง ทำบุญกับลูกด้วยมิหวังผล ไม่ได้คิดว่าจะได้อะไรตอบแทน เต็มบุญเลยที่ได้ทำ แม้แต่สัตว์เลี้ยงหรือไม่ได้เลี้ยง เราให้อาหาร ให้ความรักเลี้ยงดู ให้เมตตา ไม่ได้หวังผลตอบแทน เพียงเห็นเขาอิ่ม มีความสุข จิตใจเรามีแต่สูงขึ้นๆๆๆ กิเลสไม่ดีแทรกตัวยาก
อย่ามองว่าเป็นภาระ
แต่มองว่า…เรากำลังสร้างบุญ ที่ยิ่งใหญ่…
พระคุณพ่อ-พระคุณแม่
คนเราทุกคนเมื่อเกิดมาแล้ว จะมีพระผู้ให้อยู่ ๒ ท่านคือ พระคุณพ่อ และ พระคุณแม่ ท่านทั้งสองจะเป็นผู้ให้เราตั้งแต่เกิดโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ เลยเพียงเพื่อให้ลูกนั้นเติบโตมีความสุข มีการศึกษา และเป็นพลเมืองดีดังคำกล่าวที่ว่า
– พ่อแม่เป็นพระพรหมของลูก กล่าวคือ มีความเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา
– พ่อแม่เป็นครูคนแรกของลูก กล่าวคือ สอนให้พูด และอบรมความรู้เบื้องต้นให้เลือก – พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก กล่าวคือเป็นผู้มีอุปการะมากมีพระเดชพระคุณมากเป็นเนื้อนา
บุญของลูก และเป็นผู้ควรรับการนมัสการจากลูก
ถ้าเปรียบพ่อแม่ดั่งเทียนไขแล้ว พ่อแม่บางคนต้องลุกจุดไฟเผาตนเองตั้งแต่เช้ามืด เพื่อออกไปทำงานหารายได้มาเลี้ยงครอบครัว และเก็บไว้ส่วนหนึ่งเป็นค่าตำราทุนการศึกษาให้แก่ลูก
พ่อแม่เป็นผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ของเรา สรุปโดยย่อ คือ
๑. เป็นต้นแบบทางกาย คือ การที่เราเกิดมาได้ก็เพราะต้นแบบ คือ มีพ่อกับแม่ถ้าไม่มีท่านทั้งสองเราก็ไม่สามารถเกิดมาได้ อีกทั้งท่านยังเป็นต้นแบบที่ดี คือความเป็นมนุษย์ จึงทำให้เราเกิดมาเป็นมนุษย์ด้วยเพราะถ้าพ่อแม่ของเราเป็นสัตร์ เราก็จะเกิดเป็นสัตว์ด้วย
โชคดีที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้ร่างที่ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลาย เพราะสามารถใช้ความรู้ความสามารถประกอบคุณความดีได้เต็มที่ ทั้งนี้ก็เพราะเรามีพ่อแม่เป็นต้นแบบทางกายให้นั่นเอง
๒. เป็นต้นแบบทางใจ คือ ให้ความอุปการะเลี้ยงดู ฟูมฟัก ทะนุถนอม อบรมสั่งสอน ปลูกฝังกิริยามารยาท ให้ความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมแก่ลูก
พระคุณพ่อแม่เป็นต้นแบบทางกายให้เรา ก็นับว่ามีพระคุณมากแล้ว ยิ่งท่านอบรมเลี้ยงดูเรามา เป็นต้นแบบทางใจให้ด้วย ก็ยิ่งมีพระคุณมากเป็นอเนกอนันต์ พ่อแม่บางคนทำงานหามรุ่ง-หามค่ำ อาบเหงื่อตากน้ำสุดแสนจะเหนื่อย แต่ก็ต้องทนลำบากเพื่อลูก เปรียบดั่งเทียนไข เมื่อเริ่มจุดไฟแล้วเทียนเล่มนั้นจะค่อย ๆ ละลายตังเองลงไปทุกวินาที
เทียนบางเล่มยังคงสว่างไสวอยู่มาก เปรียบดั่งพ่อแม่อยู่ในวัยกลางคนแล้ว และเทียนบางเล่มที่ริบหรี่ลงเมื่อถูกลมพัด เปรียบดั่งพ่อแม่กำลังเจ็บไข้ได้ป่วยหรือมีปัญหาในการทำงาน แต่ก็พยายามหอบสังขารไปทำงานหาเช้า-กินค่ำเพื่อลูก แต่เทียนบางเล่มได้ถูกพายุร้ายพัดดับลงเสียแล้ว นั่นหมายถึงชีวิตของท่านทั้งสองได้จากเราไปสู่สุคติแล้ว
ดังนั้น เราผู้ซึ่งเป็นลูกจึง ควรมีความสำนึกในพระคุณอันใหญ่ หลวงนี้โดย การตอบแทน พระคุณ ท่านทั้งสอง เปรียบดั่งหนังสือเล่มนี้หากมีความดีอยู่บ้าง ก็ขอมอบความดีเหล่านี้แด ่คุณพ่อคุณแม่ ่ที่ ่เป็นครู คนแรกของลูก( พรจากพระองค์ใดไม่ประเสริฐเท่าพรจาก พระคุณพ่อ-พระคุณแม่ )
(สมเด็จโต พรหมรังสี)
ลูกเอ๋ย…ยามที่พ่อแม่ของเจ้ามีอายุมากขึ้น ย่อมมีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน ความแข็งแรงของร่างกายที่เคยมีก็ลดลง ใจน้อยง่าย ความจำก็เสื่อม ขี้หลงขี้ลืม จิตใจก็หมดความสุขสดชื่น ถึงแม้พวกเจ้าจะคอยเอาใจใส่ดูแลใกล้ชิดสักเพียงใดก็ตาม ก็ไม่อาจช่วยให้พ่อแม่ของเจ้ามีความสุขได้เต็มที่ เพราะพวกเจ้าทุกคนต่างก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ
เจ้าช่วยท่านให้ได้รับความสุขเพียงการให้กินอยู่หลับนอน อันเป็นความสุขทางกายเท่านั้น แต่จิตใจของท่าน หาได้ร่าเริงสดชื่นผ่องใสไม่ เจ้าจงจำไว้ว่า การให้ความสุขแก่พ่อแม่อย่างแท้จริงก็คือ การให้ธรรมะ ด้วยการสอนหลักธรรมง่ายๆให้พ่อแม่ของเจ้า พาท่านไปทำบุญทำทาน สอนท่านให้รู้จักการปฏิบัติบูชา สวดมนต์ ภาวนา แผ่เมตตา ธรรมะจะอยู่ในจิตใจของพ่อแม่เจ้าทุกภพทุกชาติ
ถือว่าเป็นการทดแทนพระคุณที่สูงสุด เจ้าจงจำไว้นะลูกเอ๋ย !…