หลายคนมักไปกราบขอพรในเรื่องต่างๆ และมักจะประสบความสำเร็จสมหวังแทบทุกรายไป ส่วนที่ใครที่มาบนบานไว้เมื่อสมหวังก็จะนำมาไข่ต้มมาแก้บนจำนวนมาก เพราะท่านชอบไข่ต้ม นอกจากนี้ยังมีพวงมาลัยสวยสดงดงาม นางรำลิเกมารำถวายบ้าง ความศักดิ์สิทธิ์นั้นผู้ที่ศรัทธาจะรู้ดีว่าบารมีของท่านจะคอยปกป้องคุ้มครองให้แคล้วคลาดจากภยันอันตรายทั้งปวง
แต่มีข้อแม้ว่าถ้าใครจะไปขอบนบานศาลกล่าวห้ามบนอยู่ 2 เรื่องนั่นก็คือ “ขอไม่ให้เป็นทหารและขอให้ได้บุตร” หลวงพ่อท่านชอบทหารเพราะปกปักรักษาบ้านเมือง ฉะนั้นหากใครไปขอต้องโดนทหารแทบทุกราย ส่วนเรื่องขอบุตรว่ากันว่าถ้าขอได้ก็จะร่างกายไม่ครบ 32 ประการ เพราะท่านก็จะส่งลูกหลานทหารที่เคยเป็นนักรบบาดเจ็บล้มตายมาเกิด แต่ทั้งนี้ก็เป็นความเชื่อที่เล่าต่อกันมาจะจริงเท็จประการใดนั้นคงต้องรอให้ผู้รู้มาชี้แจงอีกครั้ง **ทั้งนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณ**
Cr : Baabin
ตำนานเล่าขานปาฏิหาริย์ หลวงพ่อโสธร ลอยน้ำขึ้นมาที่บางปะกง
มีเรื่องราวที่เล่าขานกันมานานแล้วในครั้งโบราณว่าในกาลครั้งนั้น ยุคสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย มีพระพุทธรูปลอยน้ำมา 3 องค์ ที่แม่น้ำบางปะกง พอมาถึงบริเวณสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเรียกชื่อว่าอะไรก็ไม่ประจักษ์ ก็มีชาวบ้านเห็นพระพุทธรูปลอยน้ำมาทั้ง 3 องค์ เกิดเอะอะโวยวายขึ้นให้ช่วยกันอัญเชิญขึ้นมาบนฝั่ง ด้วยการเอาเรือออกไป อัญเชิญด้วยการช่วยกันยกขึ้นเรือแต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะยกเอาขึ้นมาไม่ไหว จึงเปลี่ยนวิธีการเป็นเอาเชือกเส้นใหญ่ไปคล้ององค์พระทั้ง 3 องค์ อย่างแน่นหนา แล้วให้ชาวบ้านที่มีอยู่ชักลากดึงจะเอาขึ้นมาบนฝั่งน้ำ ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ แม้แรงชาวบ้านที่มีอยู่เป็นจำนวนมากมายก็ไม่อาจจะฉุดดึงเอาองค์พระทั้ง 3 องค์ ที่ลอยปริ่มๆ น้ำอยู่ขึ้นมาได้ จนเชือกขาดก็ไม่สำเร็จ
ประกอบกับกระแสน้ำเกิดปาฏิหาริย์ปั่นป่วนขึ้นมาเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ทำให้พระพุทธรูปทั้ง 3 องค์จมหายลับสายตาไปท่ามกลางความเสียดายของชาวบ้านทั้งหมด ซึ่งเห็นเหตุการณ์อย่างชัดเจน พากันยกมือไหว้ท่วมศีรษะ บางคนก็พูดว่าไม่มีบุญเพียงพอที่จะอัญเชิญพระพุทธรูปทั้ง 3องค์ ขึ้นมาได้
ผู้คนในสมัยนั้นโจษขานกันไปต่างๆ นานาพากันคิดว่าอย่างนั้นคิดว่าอย่างนี้ ไปจนบางทีก็เลยเถิดไปไหนต่อไหน บ้างก็ว่า เทวดาฟ้าดินไม่โปรด หลวงพ่อก็ไม่ยอมมาประดิษฐานอยู่บนฝั่งน้ำ หากอัญเชิญขึ้นมาได้แล้วก็จะอัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดทันที เรื่องราวการโจษขานกันไปมากมายนี้เลยทำให้ชาวบ้านพากันเรียกสถานที่ที่พระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ มาสำแดงปาฏิหาริย์ลอยวนเวียนไปมาว่า “สามพระทวน” เรียกกันเรื่อยไปนานเข้าก็เพี้ยนกลายเป็น “สัมปทวน” กันไปในที่สุด
จากนั้นต่อมาพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ ที่ลอยน้ำมาในแม่น้ำบางปะกงก็ล่องลอยกันไปเรื่อยๆ องค์หนึ่งลอยไปทางบางพลี ไปผุดขึ้นที่ลำคลองวัดบางพลี ชาวบ้านอัญเชิญขึ้นมาประดิษฐานเอาไว้ที่วัดบางพลีได้โดยง่าย ซึ่งอาจจะเป็นเพราะพระพุทธรูปองค์นี้ท่านต้องการจะประดิษฐานอยู่ ณ ที่ตรงนี้ก็ได้
อีกองค์หนึ่งลอยออกไปที่บริเวณบ้านแหลมสมุทรสงคราม ชาวบ้านตีอวนได้องค์พระขึ้นมาแล้วอัญเชิญไปประดิษฐาน ที่วัดบ้านแหลม หรือในปัจจุบัน คือ วัดเพชรสมุทรวรวิหาร
เมื่อนำพระพุทธรูปที่ลอยน้ำขึ้นมาได้ ชาวบ้านก็อัญเชิญเข้าไปประดิษฐานเอาไว้ในพระอุโบสถทันทีรวมกับพระพุทธรูปองค์อื่นๆ ที่มีอยู่ พระพุทธรูปองค์นี้ปรากฏว่าเป็น พระพุทธรูปปางมารวิชัยลงรักปิดทองเอาไว้ ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าเป็นลักษณะของพระพุทธรูปศิลปะล้านช้าง คือศิลปะของเวียงจันทร์ ซึ่งมีการสร้างพระพุทธรูปลักษณะเช่นนี้กันทั่วไปที่ล้านช้าง และหลวงพระบางและเมืองอื่นๆ ที่ภูมิภาคแถบนี้ ดูได้จากพระพุทธรูปลักษณะเดียวกันที่เวียงจันทร์ และหลวงพระบางตลอดจนอินโดจีน รวมทั้งทางภูมิภาคของภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสาน ชาวบ้านเลยพากันถือเป็นเรื่องสำคัญมากที่ได้ พระพุทธรูปองค์สำคัญนี้มาพากันมากราบไหว้กันมากมาย
ในครั้งกระโน้นเล่าลือกันไปทุกสารทิศทีเดียวพากันเรียกท่านว่า “หลวงพ่อโสธร” ตามชื่อวัดที่เปลี่ยนมาจาก “เสาธงทอน” แล้วก็เป็น “หลวงพ่อโสธร” มาตราบกระทั่งปัจจุบัน
“หลวงพ่อโสธร” เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองแปดริ้วหรือจังหวัดฉะเชิงเทราโดยแท้จริงตลอดมา “หลวงพ่อพุทธโสธร” หรือ “หลวงพ่อโสธร” หน้าตักกว้าง 1.65 เมตร สูง 1.48 เมตร เท่าที่มองเห็นองค์หลวงพ่อโสธรอยู่ในปัจจุบันนี้
ผู้รู้เล่าว่าองค์จริงของหลวงพ่อพุทธโสธรนั้นเป็นพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ที่องค์เล็กกว่าที่เห็นกันอยู่ แต่เนื่องจาก หลวงพ่อโสธรเป็นพระพุทธรูปที่มีรูปลักษณ์งดงามมาก มีผู้เกรงว่าจะเป็นอันตรายอาจจะมีผู้ใจบาปมากระทำมิดีมิร้ายได้ จึงจัดการสร้างพระพุทธรูปปูนปั้นขึ้นใหม่แล้วเอาองค์จริงของหลวงพ่อโสธรประดิษฐานไว้ข้างในไม่ให้ใครเห็นจนบัดนี้
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : chonburipost