12 เทรนด์ โซเชียลมีเดีย ปี 2024
เทรนด์ของโซเชียลมีเดียที่น่าจับตา และสําคัญมาก ๆ ในปี 2024 มีอะไรบ้าง เราก็จะได้มาวางแผนการทํางาน ทําธุรกิจ หรือเล่นโซเชียลมีเดียกันได้
1 ความนิยมของ Tiktok พุ่งสูงขึ้นตามกลุ่ม Gen Z
Tiktok จะได้รับความนิยมพุ่งสูงขึ้นตามกลุ่มเจน Z จากข้อมูลในตอนนี้ Facebook ยังถือว่าเป็นโซเชียลมีเดียที่มีผู้ใช้จํานวนมากที่สุด แต่ Tiktok ก็มาแรงมาก อย่างที่เราก็ทราบทราบกันว่า Tiktok เป็นแพลตฟอร์มที่วัยรุ่นคนอายุน้อยนิยมใช้ ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าในปัจจุบัน ผู้ที่อายุต่ำกว่า 25 ปีมีไม่ถึง 15% ที่เล่น Facebook ซึ่งแตกต่างอย่างมาก Tiktok ที่คนที่อายุต่ำกว่า 25 ใช้งานมากถึง 44% จนเค้าพูดเล่น ๆ กันว่า Tiktok สําหรับเด็กส่วน Facebook สําหรับผู้ใหญ่ เพราะว่าในปัจจุบันนี้ เด็ก ๆ จะชอบคอนเทนต์ที่มันสั้น คนที่มีชื่อเสียงหันมาเล่นติ๊กต๊อกกันเยอะ นอกจากนี้มาร์เก็ตติ้งมีการทําชาเลนจ์ต่าง ๆ เช่น แดนซ์ชาเลนจ์ เลยก็ทําให้ Tiktok เป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
2 เเบรนด์ต่าง ๆ ใช้โซเชียลมีเดียเพื่อให้บริการกับลูกค้าที่ใจร้อน
แบรนด์ต่าง ๆ เริ่มใช้โซเชียลมีเดียในการติดต่อสื่อสาร และวก็ให้บริการ Customer Service ผ่านโซเชียลมีเดียกันมากขึ้นซึ่งเป็นทางหนึ่งที่สามารถโต้ตอบกับลูกค้าได้รวดเร็ว ซึ่งมีผลสํารวจจาก HubSpot ว่า 90% ของผู้บริโภคต้องการการตอบทันทีเมื่อพวกเค้ามีคําถาม ขณะที่ผลสํารวจของ Sprout Social บอกว่าผู้บริโภค 22% ต้องการได้รับคําตอบกลับภายใน 1-2 ชั่วโมงและอีก 22% คาดว่าแบรนด์จะตอบกลับภายใน 2-12 ชั่วโมง นั่นหมายความว่าถ้าแบรนด์หายไป 2 วัน มันจะเกิดปัญหาอีกเรื่องนึงตามมานั้นก็คือวิกฤตบนโซเชียลมีเดีย
3 การจัดการวิกฤตบนโซเชียลมีเดียกลายเป็นสิ่งที่ต้องมี
การจัดการวิกฤตบนโซเชียล กลายเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมี หลายแบรนด์พลาดเพราะว่าไม่มีการจัดการกับวิกฤตที่ดีที่เกิดขึ้นบนโซเชียลมีเดีย หรือบนโลกออนไลน์ ถ้าเราไม่สามารถที่จะหยุดยั้งการแชร์จนเป็นไวรัลได้ มันจะเป็นผลเสียกับแบรนด์มาก ๆ ซึ่งสิ่งที่จะหยุดยั้งมันได้ก็คือการรีบออกมาแก้ข่าวให้เร็วที่สุด ซึ่งก็ต้องระวังเพราะถ้าแก้ข่าวไม่ดี ภาพลักษณ์ขององค์กรก็จะแย่มากกว่าเดิม ซึ่งหลายองค์กรมีทีมพิเศษที่จัดการเรื่องวิกฤตทางโลกออนไลน์ หรือววิกฤตทางโซเชียลโดยเฉพาะ โดยผลสํารวจบอกว่า 34% ของผู้บริโภคคาดหวังว่าแบรนด์ต่าง ๆ จะตอบสนองต่อวิกฤติบนโซเชียลมีเดียภายใน 30 นาที ซึ่งผู้ใช้โซเชียลมีเดียเกือบ 90% บอกว่าธุรกิจสามารถได้รับความไว้วางใจกลับคืนมาในช่วงวิกฤตโดยการยอมรับข้อผิดพลาด และออกมาแสดงความโปร่งใสเกี่ยวกับขั้นตอนที่พวกเค้าจะดําเนินการแก้ไขปัญหา
4 โซเชียลมีเดียกลายเป็นราชาแห่งการโฆษณา
เทรนด์ต่อไปโซเชียลมีเดียกลายเป็นราชาแห่งการโฆษณาตามสถิติ ตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา มีการลงทุนในด้านการโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดียมากขึ้น และมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี
แต่มีข้อมูลหนึ่งที่น่าสนใจบอกว่า 40% ของนักการตลาดมองว่า ROI (Return of Investment) ของ Facebook ยังมาเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาก็ คือ Instagram เพราะส่วนใหญ่แล้วคนที่ใช้เฟซบุ๊กจะเป็นคนวัยทํางานที่มีกำลังซื้อ
5 ความน่าเชื่อถือ และความถูกต้องเป็นการขายใหม่บนโซเชียลมีเดีย
เทรนด์ต่อมาความไว้ใจ และความน่าเชื่อถือจะเป็นจุดขายใหม่บนโลกโซเชียลมีเดีย ผู้บริโภคคาดหวังกันว่าจะได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากแบรนด์เกี่ยวกับสินค้านั้น ๆ และที่สําคัญคือเรื่องของความจริงใจ ในปัจจุบันนี้ผู้บริโภคจะดูถึงตัวซีอีโอด้วว่าน่าเชื่อถือมากแค่ไหน ผู้บริโภคอยากดูไลฟ์สไตล์มากกว่าดูโฆษณาที่เป็นโฆษณาสินค้าอย่างเดียว โฆษณาที่มีลักษณะ Hard Sell ขายกันไปตรง ๆ จะไม่เวิร์คอีกต่อไป ซึ่งเดี๋ยวนี้เราก็จะเห็นซีอีโอของหลาย ๆ องค์กรหลาย ๆ แบรนด์ทําหน้าที่เป็น Spokesperson ขึ้นเวทีตามที่ต่างๆ และนั่นส่งผลถึงความน่าเชื่อถือของแบรนด์
6 แพลตฟอร์มใหม่ และยักษ์ใหญ่เปิดตัว ตัวเลือกด้านคอนเทนต์เสียง
คอนเทนต์เสียงมาแน่นอน เราจะได้เห็นแพลตฟอร์มใหม่ ๆ แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ที่มีตัวเลือกด้านคอนเทนต์เสียงเพิ่มขึ้นมา ซึ่งนักวิเคราะห์เทคโนโลยีท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า
“ข้อความมันน้อยไป วิดีโอมันก็มากไป เสียงมันก็เลยกลายเป็นอะไรที่กําลังพอดี”
7 โซเชียลมีเดียกลายเป็นแพลตฟอร์มชอปปิง
เทรนด์ต่อมาโซเชียลมีเดียกลายเป็นแพลตฟอร์มชอปปิง ซึ่งเทรนด์ลักษณะนี้มีมาหลายปีแล้ว แต่ปีหน้าจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งมีข้อมูลบอกว่าคนที่อายุน้อยมีแนวโน้มที่จะตัดสินใจซื้อของจากโซเชียลมีเดียมากขึ้น แล้วผลสํารวจก็บอกว่า 33% ของผู้บริโภคต้องการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ให้บริการลูกค้าหรือว่าฝ่ายบริการลูกค้าผ่านทางโซเชียลมีเดียมากกว่าคุยทางโทรศัพท์ หรืออีเมล ซึ่งผู้ใช้ประมาณ 42% คาดหวังว่าจะต้องได้รับการตอบกลับภายใน 1 ชั่วโมง
8 วิดีโอแบบสั้นกำลังเป็นที่นิยม
วิดีโอสั้นกําลังเป็นที่นิยม เทนรนด์นี้เราเห็นกันมาสักพักใหญ่ ๆ แล้วตั้งแต่ช่วงโควิดเป็นต้นมา และการกําเนิดของ Tiktok ขณะที่ Youtube ก็มี Shorts และ Instagram และ Facebook ก็มี Reels โดยปีหน้าคอนเท้นต์วิดีโอสั้นจะมาแรงยิ่งขึ้น
9 Facebook ยังได้รับความนิยมมากที่สุด
Facebook ยังครองแชมป์มีผู้ใช้งานมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก ตามมาด้วย Youtube แต่ถ้าเรามาดูกันว่าปริมาณการใช้งานต่อวันในแต่ละแพลตฟอร์มเฉลี่ยวันละกี่ชั่วโมงจะเป็นดังนี้ (ข้อมูลของเดือนกันยายนปี 2023)
- Youtube มีผู้ใช้งานเฉลี่ยประมาณ 40 นาทีต่อวัน
- Instagram มีผู้ใช้งานเฉลี่ยประมาณ 53 นาทีต่อวัน
- Facebook มีผู้ใช้งานเฉลี่ยประมาณ 58 นาทีต่อวัน
- Tiktok มีผู้ใช้งานเฉลี่ยประมาณ 52 นาทีต่อวัน แต่ผู้ใช้อายุน้อยบางรายใช้นานถึง 80 นาทีต่อวัน
10 ความสนใจที่สั้นลงส่งผลให้เนื้อหากระชับและสั้น
ที่คลิปสั้นเป็นที่นอยมก็เพราะว่าความสนใจของคนสั้นลง เนื้อหาก็เลยต้องกระชับลง มีข้อมูลที่น่าสนใจบอกว่าผู้คนใช้เวลากับโซเชียลมีเดียมากขึ้นก็จริง แต่พวกเขาจะใช้เวลากับแต่ละโพสต์น้อยลง จากการศึกษาพบว่าช่วงความสนใจของคนในปัจจุบันอยู่ที่ 8 วินาทีเท่านั้นลดลงจาก 12 วินาทีเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งผู้ที่เข้าถึงเนื้อหาบนโซเชียลมีเดียบนคอมพิวเตอร์จะใช้เวลากับเนื้อหาในแต่ละชิ้นมากกว่าเนื้อหาบนอุปกรณ์เคลื่อนที่เล็กน้อย เช่นผู้ใช้ Facebook จะเข้าถึงเฟซบุ๊กจากคอมพิวเตอร์เฉลี่ย 2.5 วินาที ขณะที่ใช้มือถือเหลือแค่ 1.7 วินาที
11 ตัวเลือก AR เพิ่มขึ้น
การใช้ AR จะเพิ่มขึ้น AR คือการผสานโลกเสมือนกับโลกจริงเข้าด้วยกัน เช่นการทํา Virtual Try On หรือการลองเสื้อผ้าผ่าน AR หรืออย่างเช่นการเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่จะมีแอปพลิเคชันให้เราใช้ส่องห้องจริง แล้วเอาเฟอร์นิเจอร์มาลองวางดูเป็นตัวอย่าง
12 การเติบโตของการใช้เนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้น
ความเห็นของผู้ใช้งานมีผลต่อการตลาดอย่างมาก ในปัจจุบันนี้นอกจากท่ผู้บริโภคจะดูโฆษณา แล้วสิ่งที่เขาดูก็คือ รีวิว ซึ่งรีวิวการผู้ใช้งานจริงจะส่งผลกับการตลาดทำให้มีคนอยากจะซื้อของเพิ่มขึ้น ซึ่งสัญญาณนี้มีมันมาในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และจะเติบโตขึ้นอีกในปีหน้า
สรุป Trends Social Media ของปี 2024
สรุปการใช้โซเชียลมีเดียยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า และแพลตฟอร์มเดิมจะยังคงอยู่แต่ก็มีแข่งกันขึ้นมาเรื่อย ๆ ดังนั้นบริษัทหรือองค์กรต่าง ๆ ต้องหากลยุทธ์ที่เหมาะกับแพลตฟอร์ม และเทรนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นใหม่อยู่เรื่อย ๆ