ในปัจจุบันโรคริดสีดวงทวารนั้นเป็นอีกโรคหนึ่งสามารถเกิดขึ้นได้บ่อยกับทุกคนทุกวัย และสร้างความทรมานให้แก่ผู้ที่เป็นอย่างมาก เนื่องจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปทั้งการกิน การทำงาน และการใช้ชีวิตที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ โดยเฉพาะการกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ไม่ใส่ใจเรื่องการขับถ่าย จนเป็นบ่อเกิดของโรคริดสีดวงทวารนั่นเอง
เมื่อมีอาการของโรคนี้แล้วหลายคนจึงต่างพยายามมองหาวิธีที่จะช่วยแก้ไข เราจึงมีอีกหนึ่งวิธีที่อยากบอกต่อก็คือ การใช้สมุนไพรอย่าง “เพชรสังฆาต” (Cissus quadrangularis) ซึ่งถือเป็นสมุนไพรอันดับหนึ่งที่ขึ้นชื่อในเรื่องการช่วยรักษาอาการของโรคริดสีดวงทวาร และจากความโดดเด่น สรรพคุณของเพชรสังฆาต นี่เอง จึงมีการนำสมุนไพรอย่างเพชรสังฆาตมาผลิตเป็นยาในรูปแบบแคปซูลเพื่อให้ช่วยรักษาโรคได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ลักษณะของต้นเพชรสังฆาต
เพชรสังฆาต เป็นไม้เถาเลื้อยสีเขียว จัดอยู่ในพืชวงศ์องุ่น มีชื่อเรียกแตงต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เช่น สันชะฆาต สามร้อยต่อ หรือสันชะงวด เป็นต้น เพชรสังฆาตมีรูปลักษณ์ที่สวยแปลกตา คนจึงมักคิดว่าเป็นไม้ประดับและนำมาปลูกเพื่อความสวยงามสะมากกว่า
ต้น มีลักษณะเป็นไม้เถามีครีบเหลี่ยมๆเป็นข้อต่อกัน สีเขียว เปลือกเถาเรียบ มีมือไว้สำหรับเกาะยึดตามข้อต่างๆโผล่มาตรงข้อระหว่างใบ เห็นเป็นปล้องอย่างชัดเจนโดยบริเวณข้อจะเล็กลง แต่ละปล้องยาวประมาณ 3-15 เซนติเมตร
ใบ เป็นใบเดี่ยวรูปสามเหลี่ยม โคนใบเว้าลง ปลายใบมน ผิวใบเรียบเป็นมันสีเขียว ขอบใบหยักมนห่างๆ
ดอก ดอกเป็นช่อเล็ก สีแดง แทงก้านออกออกมาจากตรงข้อ เมื่อดอกบานเต็มที่ก้านจะงอลงด้านล่าง
ผล มีลักษณะกลม มีค่อนข้างเรียบเป็นมัน ผลอ่อนมีสีเขียว ผลแก่สีแดงออกดำ ในผลมีเมล็ดสีน้ำตาลผลละ 1 เมล็ด
ประโยชน์จากส่วนต่างๆ ของเพชรสังฆาต
นอกจากสรรพคุณในการรักษาโรคริดสีดวงทวารที่โด่งดังแล้ว เพชรสังฆาตยังมีสรรพคุณทางยาในด้านอื่นๆ อีกมากมายซึ่งใช้ประโยชน์ได้จากเกือบทุกส่วนของเพชรสังฆาต ดังนี้
ลำต้น- นำน้ำที่คั้นได้จากต้นมาปรุงเป็นยาธาตุ ช่วยให้เจริญอาหารหรือดื่มเพื่อรักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้ ช่วยขับน้ำเหลืองและเลือดเสีย บรรเทาอาการประจำเดือนมาไม่ปกติในสตรี ช่วยขับลมแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ และสามารถมาหยอดหูรักษาโรคหูน้ำหนวกได้
สำหรับการทานเพื่อรักษาโรคริดสีดวงนั้น หากจะทานสดควรทานโดยสอดเพชรสังฆาตชิ้นเล็กๆ ไว้ในอาหารต่างๆจำนวน 2-3 ชิ้นต่อหนึ่งมื้ออาหาร ห้ามเคี้ยว เพราะในเพชรสังฆาตมี Calcium Oxalate จำนวนมาก การเคี้ยวอาจจะทำให้เกิดอาการคันได้ รับประทานติดต่อกันประมาณ 10-15วัน หรือจะทานแบบผงโดยนำเถาไปตากแดดให้แห้งแล้วบดเป็นผงบรรจุแคปซูลขนาดแคปซูลละ 250 มิลลิกรัมทานวัน 4 เวลาก่อนอาหาร หรือสามารถซื้อแบบบรรจุสำเร็จตามร้านขายยาสมุนไพรทั่วไปก็ได้ หากทานแล้วมีการถ่ายมากขึ้นควรลดขนาดการทางลงเพราะเพชรสังฆาตมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ
การรักษาควรรักษาร่วมกับการดูแลร่างกายแบบอื่น เช่น ทานอาหารที่มีกากใยสูง ไม่อั้นอุจจาระและขับถ่ายเป็นเวลา เพราะหากทานแต่เพชรสังฆาตแต่ไม่ดูแลตัวเอง ก็สามารถทำได้แค่เพียงบรรเทาอาการเท่านั้น
ใบ- มีสรรพคุณช่วยรักษาโรคอาหารไม่ย่อย ขับน้ำเหลือง และนำมาพอกเพื่อช่วยให้กระดูกที่หักให้สมานตัวได้เร็วลดอาการปวดบวมและอักเสบ
ราก-มีสรรพคุณช่วยสมานกระดูกเช่นเดียวกันกับใบ
เพชรสังฆาต…สมุนไพรรักษาริดสีดวง สร้างมวลกระดูก เพิ่มคอลลาเจน
แต่สำหรับสรรพคุณและประโยชน์ของต้นเพชรสังฆาตไม่ได้จบอยู่เพียงแค่การรักษาโรคริดสีดวงทวารเท่านั้น เพราะเพชรสังฆาตยังสามารถช่วยบรรเทาอาการของโรคอื่นได้อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นการช่วยดูแลและรักษาโรคกระดูกบางได้ โดยมีงานวิจัยในประเทศพบว่า ในต้นเพชรสังฆาตมีสารสำคัญที่ทำให้เซลล์มีการสร้างมวลกระดูกเพิ่ม และยังเพิ่มการสร้างคอลลาเจนในเซลล์สร้างกระดูก ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้ที่อยู่ในกลุ่มสูญเสียมวลกระดูกง่าย เช่น วัยผู้สูงอายุ ผู้ที่อยู่ในวัยทอง ฯลฯ
โดยทั่วไปแล้วเรานิยมปลูกต้นเพชรสังฆาตเพื่อใช้ประดับบ้านเรือน เพราะเป็นพืชที่มีลักษณะแปลกตา มีดอกและช่อสีแดงที่ดูสวยงาม แต่เมื่อได้ทราบถึงสรรพคุณทางยาของสมุนไพรเพชรสังฆาตชนิดนี้กันบ้างแล้ว น่าจะทำให้เราได้เห็นว่าเจ้าต้นเพชรสังฆาตนั้นมีคุณค่าเพิ่มขึ้นอีกมากเลย โดยเฉพาะถือเป็นยาที่มีราคาถูกมากด้วย
10 สรรพคุณของเพชรสังฆาต ประโยชในการรักษาโรค
1. เพชรสังฆาตมีสรรพคุณในการรักษาโรคริดสีดวงทวารได้อย่างมีประสิทธิภาพ เทียบเท่ากับการใช้ยาแผนปัจจุบันหรือยาจากต่างประเทศเลยทีเดียว โดยจะช่วยลดอาการปวดและการอักเสบได้ ทำให้หลอดเลือดแข็งแรงและหลอดเลือดดำที่บวมเป่งบริเวณทวารหนักหดตัวลงได้
2. ประโยชน์ของเพชรสังฆาตมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ จึงช่วยลดโอกาสที่จะเกิดอาการท้องผูก
3. เพชรสังฆาตช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับอาหารไม่ย่อย ช่วยขับลมในลำไส้ แก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง และท้องอืดท้องเฟ้อ
4. เพชรสังฆาตมีสรรพคุณช่วยทำให้เจริญอาหาร
5. เพชรสังฆาตมีสรรพคุณทำให้กระดูกแข็งแรง บำรุงกระดูก ลดการสูญเสียมวลกระดูก และช่วยในการสมานกระดูกที่แตก หัก หรือซ้น โดยจะกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์กระดูกได้เร็วและแข็งแรงขึ้น
6. ในเพชรสังฆาตอุดมด้วยวิตามินซี ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงช่วยในการกำจัดและป้องกันสารพิษต่างๆ และช่วยลดอาการอักสบได้เป็นอย่างดี
7. ในเพชรสังฆาตมีสารฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารพฤกษเคมีที่มีส่วนช่วยในการต้านอนุมูลอิสระได้ดีเช่นกัน แถมยังมีประสิทธิภาพสูงสามารถช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกได้อีกด้วย
8. เพชรสังฆาตมีคุณสมบัติช่วยลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดี จากการทดลองในกลุ่มผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานพบว่า ทำให้น้ำหนัก ไขมันในร่างกาย และเส้นรอบเอวลดลงอย่างเห็นได้ชัด รวมทั้งยังมีผลดีทำให้ระดับคอเลสเตอรอลและน้ำตาลในเลือดลดลงด้วย เนื่องจากใยอาหารในเพชรสังฆาตที่ช่วยทำให้อิ่มเร็ว ยับยั้งเอนไซม์ที่ย่อยแป้ง น้ำตาล และไขมัน จึงลดการดูดซึมอาหาร
9. ต้นเพชรสังฆาตมีประโยชน์ช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น และช่วยแก้อาการเลือดกำเดา ช่วยแก้อาการประจำเดือนมาไม่ปกติและแก้เลือดเสียในสตรี
10. เพชรสังฆาตมีสรรพคุณช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด หรือเลือดออกตามไรฟันได้
เพชรสังฆาตช่วยลดน้ำหนักได้ไหม?
จากการศึกษาทดลองจากผู้ร่วมทำการทดลองโดยไม่ปรับเปลี่ยนการกินอาหารและการออกกำลังกายโดยการให้ทานมื้อละ 100 มิลลิกรัมก่อนอาหาร พบว่าเพชรสังฆาตช่วยลดน้ำหนักได้เล็กน้อย ปริมาณไขมันและน้ำตาลในเลือดลดลง เนื่องจากเพชรสังฆาตเป็นพืชที่มีกาดใยสูงมาก ช่วยให้เนื้อที่กระเพราะน้อยลงจึงอิ่มเร็ว ลดการดูดซึมอาหารและความอยากอาหาร และยังเพิ่มระดับฮอร์โมนซีโรโทนินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกอิ่มอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก การลดน้ำหนักที่ดีที่สุดควรทำไปพร้อมกับการควบคุมอาหารและการออกกำลัง การทานเพชรสังฆาตหากทานแล้วท้องอืดสามารถเปลี่ยนมาทานหลังมื้ออาหารและไม่ควรทานมากเกินไปเพราะจะทำให้ไม่สบายท้องได้
เพชรสังฆาต…กินอย่างไร ให้สุขภาพดี ต้านทานโรค
อย่างไรก็ดี แม้ว่าเพชรสังฆาตจะมีสรรพคุณทางยาและมีประโยชน์ต่อสุขภาพอยู่มาก แต่หากกินอย่างไม่ถูกต้องก็จะส่งผลข้างเคียงต่อร่างกายได้ เช่น ตาเหลือง ตัวเหลือง ปัสสาวะไม่ปกติฯลฯ วิธีการกินเพชรสังฆาตที่เหมาะสมคือ อาจกินพร้อมกับอาหารหรือหลังอาหารทันที หรือสามารถกินเพชรสังฆาตในรูปแบบแคปซูลก็ได้ประโยชน์เหมือนกัน แต่ไม่ควรกินเพชรสังฆาตแบบสดอย่างเดียวเด็ดขาด เพราะสารแคลเซียมออกซาเลตในเพชรสังฆาตจะทำให้เกิดการระคายเคืองที่คอและเยื่อบุภายในปากได้ ที่สำคัญคือ ควรกินอาหารที่มีประโยชน์ร่วมกับการออกกำลังกายด้วยก็จะยิ่งดีมาก แค่นี้ร่างกายของเราก็จะปลอดภัยทั้งจากโรคริดสีดวงทวารและโรคอื่นๆ กันแล้วล่ะ
ข้อแนะนำ และควรระวังในการใช้เพชรสังฆาต
1. ควรระวังหากทานสด ไม่ควรเคี้ยวหรือรับประทานแบบสัมผัสกับปากโดยตรงเพราะอาจจะทำให้ระคายเคืองจาก Calcium Oxalate ที่มีอยู่ปริมาณมากในเพชรสังฆาตได้
2. การทานในปริมาณมากสามารถทำให้ท้องอืดและไม่สบายท้องได้
3. เนื่องจากมีฤทธิ์เป็นยาระบายแบบอ่อนๆ ดังนั้นผู้ที่มีธาตุอ่อนควรระมัดระวังในการทาน หากใครทานแล้วถ่ายมาก ควรลดขนาดการทานลง
4. ยังไม่มีผลวิจัยสำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์และผู้ที่กำลังให้นมบุตรดังนั้นจึงไม่ควรทาน