เคาะภาษีสุรา โขกเพิ่ม 30 บาท เบียร์ 2 บาทต่อขวด บุหรี่ขึ้น 2-15 บาท

“เหล้า-บุหรี่” ภาษีใหม่บังคับใช้แล้ว ปรับขึ้นทันทีสุรากลั่นโขกอีก30 บาท บุหรี่จ่ายแพงซองละ 2-15 บาท อธิบดีกรมสรรพสามิตเผยหลังมีผลบังคับใช้ในวันที่ 16 ก.ย.60 แจงต้องปรับเปลี่ยนราคาจากเดิม ไวน์ราคา 1 พัน ต้องจ่ายเพิ่มอีก 110 บาท ส่วนบุหรี่ซองต่ำกว่า 60 บาทจ่ายเพิ่ม 4-15 บาทต่อซอง ส่วนเกิน 60 จ่ายเพิ่ม 40% คาดโทษโก่งขายสต๊อกเก่ามีโทษถึงคุก

 

 

 

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 16 ก.ย. ที่กรมสรรพสามิต นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยถึงกฎหมายภาษีสรรพ สามิต ฉบับใหม่ที่มีผลบังคับใช้ในวันที่ 16 ก.ย. 2560 ที่มีผลให้กลุ่มสินค้าบางกลุ่มปรับเปลี่ยนราคาจากเดิม ว่าในส่วนของไวน์นำเข้าหากมีราคาเกิน 1,000 บาท จะมีราคาเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 110 ต่อขวด ส่วนไวน์ที่มีราคาต่ำกว่า 1,000 บาท จะมีราคาลดลง 25 บาทต่อขวด ขณะที่ราคาสุรา หากเป็นสุราขาวจะปรับขึ้น 80 สตางค์ ถึง 3.50 บาทต่อขวด ตามขนาดดีกรี แต่หากเป็นสุรากลั่นในประเทศขนาดขวด 700 มิลลิลิตร 28 ดีกรีจะปรับขึ้น 8-30 บาทต่อขวด สุรากลั่นในประเทศ 40 ดีกรี ปรับขึ้น 30 บาทต่อขวด สุรานำเข้าที่มีราคาสูง ราคาจะปรับลดลง 2-20 บาทต่อขวด ส่วนเบียร์กระป๋อง จะปรับเพิ่มขึ้น 50 สตางค์ ต่อกระป๋อง และแบบขวดจะปรับขึ้น 2 บาท ต่อขวด

ขณะที่บุหรี่หากราคาต่ำกว่าซองละ 60 บาท จะจัดเก็บในอัตรา 20% หรือจะกระทบราคาเพิ่มขึ้นประมาณ 4-15 บาทต่อซอง ส่วนบุหรี่ที่ราคาเกิน 60 บาท จะจัดเก็บภาษีในอัตรา 40% หรือราคาจะเพิ่มขึ้น 2-14 บาทต่อซอง โดยในช่วง 2 ปีแรกจะจัดเก็บใน 2 อัตรา และหลังจากนั้นจะใช้อัตราที่เท่ากันที่ ร้อยละ 40 เพื่อให้อุตสาหกรรมบุหรี่ได้มีเวลาปรับตัว

ส่วนเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง น้ำผัก ผลไม้ เพิ่มขึ้น 0.06-0.54 บาทต่อลิตร ชาเขียวเพิ่มขึ้น 1.13-2.05 บาท เพิ่มขึ้น 1.35 บาท เครื่องดื่มบำรุงกำลังเพิ่มขึ้น 0.32-0.90 บาท ยกเว้นขนาด 150 ซีซี ลดลง 0.11 บาท ส่วนน้ำอัดลม เช่น โค้กซีโร่ เป๊ปซี่ แม็ก ลดลง 0.25-0.36 บาท เครื่องดื่มน้ำอัดลมที่มีความหวานปกติเพิ่มขึ้น 0.13-0.50 บาท ขณะที่เครื่องดื่มมีส่วนผสมของน้ำตาลเทียมไม่เกินเกณฑ์ตามที่ (อย.) กำหนดและหญ้าหวาน ไม่อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี

นายสมชายกล่าวอีกว่า การเก็บภาษีเครื่องดื่มตามปริมาณความหวานของเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ก็เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนัก ถึงผลกระทบต่อสุขภาพ หากบริโภคเครื่องดื่มดังกล่าวในระยะแรกจะ ไม่เพิ่มภาระภาษีมากนักแต่หลังจาก 2 ปี ภาระจะเพิ่มขึ้นและปรับภาษีทุก 2 ปีจนถึงปี 2566 รวมทั้งจะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินมาตรการอื่นที่ไม่ใช่มาตรการทางภาษี เพื่อลดการบริโภคเครื่องดื่มที่มีความหวาน ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามหลักสากลองค์การอนามัยโลก (WHO) และกระทรวงสาธารณสุข

“ภาษีจากค่าความหวานเดิมได้รับการยกเว้น 111 รายการ แต่ตามกฎหมายใหม่จะมีการถอดออกมา 2 รายการ ได้แก่ ชา ชาเขียว และกาแฟ ที่ต้องเสียภาษีตามค่าความหวานทั้งในส่วนของมูลค่าและปริมาณ ส่วนเครื่องดื่มประเภทอื่นไม่ได้ถอดออกมาจากสินค้าที่ได้รับการยกเว้น แต่หากค่าความหวานเกินกว่าที่กฎหมายใหม่กำหนดก็จะต้องเสียภาษี 1 ขา คือ ขาปริมาณ โดยในส่วนนี้จะมีเวลาให้ ผู้ประกอบการปรับตัว 6 ปี แบ่งเป็นรอบละ 2 ปี ซึ่งหากผู้ประกอบการไม่ได้ลดค่าความหวานในเครื่องดื่มลง อัตราภาษีที่จะต้องเสีย ก็จะปรับเพิ่มทุก 2 ปี” นายสมชายกล่าว

นายสมชายกล่าวต่อว่า สำหรับการจัดเก็บภาษีตามอัตราใหม่นั้นจะทำให้มีเม็ดเงินจากการจัดเก็บภาษีในอัตราใหม่เพิ่มขึ้นในภาพรวม 2% หรือประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท การปรับใช้อัตราภาษีใหม่ ซึ่งมีผลบังคับใช้ วันที่ 16 ก.ย.2560 สินค้าส่วนใหญ่ที่จำหน่ายจึงยังเป็นสต๊อกเดิม หรือเป็นสินค้าที่มีตราอากรแสตมป์ก่อนวันที่ 16 ก.ย.2560 ดังนั้นจึงอยากเตือนผู้ค้าอย่าฉวยโอกาสปรับขึ้นราคา โดยอ้างว่าเป็นการปรับขึ้นตามอัตราภาษีใหม่ที่บังคับใช้วันนี้

นายสมชายกล่าวอีกว่า ขอย้ำว่าผู้ประกอบการจะถูกดำเนินการตามกฎหมาย หากพบว่ามีการกักตุนสินค้า นำสินค้าในสต๊อกเดิมมาขายในราคาใหม่ที่สูงขึ้นกว่าเดิม โดยกรมจะร่วมมือกับกรมการค้าภายใน (คน.) ลงพื้นที่ เพื่อตรวจสอบปริมาณและราคา และผู้บริโภคต้องแจ้งมายังสายด่วนของกรมสรรพสามิต 1713 และของ คน. 1569 ไม่เว้นวันหยุดราช การ หากพบกระทำความผิดตามพ.ร.บ. ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ผู้ใดกักตุนสินค้าควบคุม โดยมีสินค้าควบคุมไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่กำหนด หรือไม่นำสินค้าควบคุมที่มีไว้ออกจำหน่าย หรือเสนอขายตามปกติ หรือปฏิเสธการจำหน่ายโดยไม่มี เหตุผลอันสมควร มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

“ทั้งนี้ ยังเชื่อว่า ราคาสินค้าบางรายการอาจไม่ปรับเพิ่มขึ้น เพราะมีการแข่งขันกันสูงหากปรับขึ้นตามอัตราภาษีก็อาจจะกระทบต่อยอดขายของผู้ประกอบการเอง โดยมองว่าภาระภาษีที่เพิ่มขึ้น จะไม่ทำให้ราคาขายปรับเพิ่มสูงจนเป็นภาระต่อประชาชน เนื่องจากปัจจุบันมีการแข่งขันในตลาดที่สูง โดยเฉพาะกลุ่มรถ ยนต์ ที่พบว่าค่ายรถยนต์ต่างประกาศคงราคาและลดราคาในรถยนต์บางรุ่นตามราคาแนะนำ ขณะที่กลุ่มสินค้าเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ มีการจัดเก็บทั้งเพิ่มและลด” นายสมชายระบุ

ด้านนายสมเดช ศรีสวัสดิ์ รองอธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า กรมคาดว่าสินค้าต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีจะยังขายราคาเดิมไปอีก 2 สัปดาห์ เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีรอบผลิตก่อน 16 ก.ย. ซึ่งยังเสียภาษีสรรพสามิตอัตราเดิมอยู่ ดังนั้นจึงขอเตือนให้ผู้ประการและร้านค้าอย่าฉวยโอกาสขึ้นราคาทันที เพราะหลังจากนี้กรมได้ร่วมมือกับกรมการค้าภายในส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจตราราคาสินค้าอย่างต่อเนื่อง โดยหากพบเป็นสินค้าเก่าแล้วแอบขึ้นราคาจะมีความผิดทางกฎหมายทั้งจำและปรับ พร้อมกับมีการตั้งศูนย์ปฏิบัติเฉพาะกิจขึ้นมารับเรื่องร้องเรียนทั้งจากประชาชน ร้านค้า และผู้ประกอบการเป็นเวลา 1 เดือน

ใส่ความเห็น