เพิ่มระยะรีโมตรถ ด้วยการกดจิ้มหัว อ.เจษฎา ชี้ทำได้จริง เกิดจากการสัญญาณวิทยุถูกขยายขนาดขึ้น

เพิ่มระยะรีโมตรถ ด้วยการกดจิ้มหัว

 

จากกรณีมีผู้ใช้ Tiktok บัญชี @tarlongdoo ได้ลองใช้รีโมตรถยนต์จี้ไปที่ปลายคางของตัวเองจากนัั้นกดปุ่มที่รีโมต และปรากฏว่าสามารถล็อกรถที่จอดอยู่ข้างล่างห่างหลายสิบเมตรได้

ล่าสุด รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก “อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์” เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวระบุข้อความว่า

ทริก “เพิ่มระยะรีโมตรถ ด้วยการกดจิ้มหัว” นี่เป็นเรื่องจริงนะครับ ผมเคยทดลองทำมานานแล้ว ได้ผลชัดเจน ลองทำตามได้ครับ (แล้วถ้าไม่อยากใช้หัวของเราเอง ก็จิ้มรีโมตกับ “ขวดน้ำ” ก็ได้ครับ)

 

 

 

จริงๆ ก็เคยเขียนอธิบายเรื่องนี้ไว้นานมากๆ จนหาโพสต์เก่าไม่เจอแล้ว เลยขอรวบรวมข้อมูลมาเขียนใหม่แล้วกัน สำหรับท่านที่ยังไม่เคยลองทำทริกนี้ ให้ลองเดินให้ห่างจากรถของท่านไปให้ไกลกว่าระยะที่รีโมตรถจะล็อก/ปลดล็อกรถได้ แล้วก็ทดลองเอารีโมตจิ้มตามร่างกาย แล้วกดสัญญาณดูครับ โดยมากแล้วจะพบว่าถ้าจิ้มรีโมตที่ศีรษะ ที่คาง หรือแม้แต่ที่หน้าอก ก็สามารถส่งสัญญาณรีโมตไปที่รถได้ (แต่ถ้าจิ้มที่หน้าอก มักจะได้ระยะสั้นกว่าที่ศีรษะ) ขณะที่ถ้าจิ้มที่ขา กลับไม่ได้ผล

ซึ่งบางคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องของ “ความสูงจากพื้นดิน” ของรีโมตที่ยิ่งสูงยิ่งส่งสัญญาณดี หรือเปล่า? แต่จะเห็นว่าถึงกดรีโมตในมือที่ระดับความสูงเท่าศีรษะเรา ก็ส่งสัญญาณไปไม่ถึงรถ ไปไม่ได้ไกลเท่ากับจิ้มที่ศีรษะด้วย แสดงว่าศีรษะของคนเรา (รวมไปถึง ทรวงอก ด้วย แม้จะไม่ดีเท่า) สามารถทำตัวเป็นเหมือนตัวขยายสัญญาณคลื่นวิทยุจากรีโมตรถยนต์ได้

ปัญหาคือ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? ฟิสิกส์พื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับสัญญาณรีโมตรถ โดยทั่วไปแล้ว ความถี่ (frequency) ของสัญญาณวิทยุ (RF radio frequency) ของรีโมตรถยนต์ จะอยู่ที่ 315 เมกะเฮิรซต์ (MHz) ดังนั้น ถ้าคำนวณหาความยาวคลื่น (wavelength) ของมัน ก็จะเท่ากับ “ความเร็วของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (หรือแสง คือ 3 X 10^8 เมตร/วินาที) หารด้วยความถี่” ได้ความยาวคลื่นออกมาเท่ากับ 0.95 เมตร หรือประมาณ 1 เมตร ซึ่งขนาดของ “เสาอากาศ (antenna)” ที่มีประสิทธิภาพในการรับส่งคลื่นวิทยุจะอยู่ประมาณ “ความยาวคลื่น หารด้วย 2” หรือประมาณ 0.5 เมตร … จะเห็นว่า อยู่ในช่วงที่ร่างกายของเรามีความสูง (ยาว) เพียงพอที่จะทำตัวเป็นเสาอากาศที่มีประสิทธิภาพได้

 

 

 

ประเด็นสำคัญคือ ร่างกายของเรานั้นมีส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็น “น้ำ” ซึ่งมีแร่ธาตุผสมอยู่ มีความเป็นอิเล็กโทรไลต์ (สารละลายที่นำไฟฟ้าได้) จึงทำให้ร่างกายของเราสามารถ “คู่ควบ (couple)” กับแหล่งกำเนิดคลื่นวิทยุได้ และการที่ศีรษะของเรา (รวมถึง ทรวงอก ด้วย) มีสภาพเป็น “ช่องว่าง (cavity)” ซึ่งคำว่าช่องว่างนี้ ไม่ได้จำเป็นต้องเป็นพื้นที่ที่ไม่มีอะไรอยู่เลย แต่ให้เป็นบริเวณที่สามารถสะท้อนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปมาได้ … ศีรษะของเรา แม้ว่าจะมีสมองอยู่ข้างใน (หรือหน้าอก ที่มีปอด-หัวใจ) จึงสามารถทำตัวเหมือนเป็น “ห้องสร้างการกำทอนของเสียง (resonance chamber)” ได้ ทำให้คลื่นวิทยุจากรีโมตรถยนต์นั้นถูกขยาย (amplify) เพิ่มขนาด (amplitude) ขึ้น หรืออาจพูดได้ว่า ร่างกายของเราได้ทำตัวคล้ายกับอุปกรณ์ “ไดอิเล็กตริก เรโซเนเตอร์ (dielectric resonator) ซึ่งทำจากเซรามิก ทำหน้าที่เป็นตัวสะท้อนคลื่นวิทยุ ที่ถูกกักขังอยู่ในวัสดุเรโซเนเตอร์นี้ ให้กระเด้งไปมา และทำให้เกิด “ความถี่กำทอน (resonant frequency)” ที่ถูกขยายขนาดขึ้นซิมูเลชันในคอมพิวเตอร์

นอกจากจะลองทำจริงๆ แล้ว ก็มีอีกหลายคนที่ลองนำเอาสมมติฐานนี้ไปทดสอบด้วยการทำซิมูเลชันจำลองในคอมพิวเตอร์ และก็ได้คำตอบที่ยืนยันหลักการนี้ได้ว่าเป็นเรื่องจริง

ดังเช่น การใช้โปรแกรม VariPose และ XFdtd ในการจำลองการส่งสัญญาณรีโมตรถยนต์ ผ่านร่างกายของคนเรา ซึ่งได้ผลว่า การเอารีโมตรถยนต์จิ้มที่ปาก จะได้สัญญาณแรงที่สุด ขณะที่ถ้าไว้ที่มือ หรือจิ้มที่หน้าอก จะได้ขนาดของสัญญาณเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของการจิ้มที่ปาก และการใช้โปรแกรม Altair Feko™ ทดสอบทิศทางและขนาดของสัญญาณวิทยุที่ส่งจากรีโมตรถยนต์ ทั้งแบบวางไว้เฉยๆ, ยื่นแขนไปข้างหน้า, และจิ้มเข้ากับศีรษะ พบว่าจากสัญญาณที่กระจายเป็นวงกลม รอบตัวเรา เมื่อรีโมตถูกกดเฉยๆ (ดูเส้นสีฟ้า ในรูปประกอบด้านล่าง) แต่เมื่อยื่นแขนไปข้างหน้า สัญญาณก็มีทิศทางไปด้านหน้า ตามไปด้วย (ดูเส้นสีเขียวในรูป) และเมื่อจิ้มรีโมตที่ศีรษะ สัญญาณรีโมตก็มีขนาดเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งมีทิศทางมุ่งไปด้านหน้า ได้ไกลขึ้น (ดูเส้นสีแดง)

สรุปทริก “เพิ่มระยะรีโมตรถ ด้วยการกดจิ้มหัว” เป็นเรื่องจริง ลองทำตามได้ ซึ่งเกิดจากการที่สัญญาณวิทยุ ถูกขยายขนาดขึ้น ผ่านการสะท้อนและกำทอนขึ้นภายในช่องว่างของศีรษะเรา (และถ้าไม่อยากใช้ศีรษะของเราเอง ก็จิ้มรีโมตกับ “ขวดน้ำ” ก็ได้ ด้วยหลักการเดียวกัน)”

 

ขอบคุณคลิป/ข้อมูล : Tiktok @tarlongdooอ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์

ใส่ความเห็น